จากกรณีตอนนี้ที่มีข่าวโด่งดังเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกจับกุมในข้อหาฆ่าแม่ของตัวเองเสียชีวิตแล้วจำและศพตัดคอไปฝังดินไว้ในขณะที่ร่างกายได้มีการชำแหละเนื้อเอาออกมาแช่เย็นไว้แล้วเก็บไว้ในที่บ้านซึ่งจากที่เจ้าหน้าที่ต้องดวดได้รับทราบการก่อเหตุก็เดินทางมาที่บ้านของใช้คนดังกล่าวทันทีพบว่าชายดังกล่าวเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
ซึ่งมีอายุอยู่ที่ 34 ปีเมื่อไปถึงทางเจ้าหน้าที่ก็จับได้เลยชายคนหนึ่งกล่าวไม่ได้คิดหนีและเมื่อเจ้าหน้าที่สอบปากคำผู้ต้องหาทำให้ผู้ต้องหารับสารภาพว่ามีการก่อเหตุฆ่าแม่ตัวเองจริง
ซึ่งเหตุผลที่ทำไปนั้นเนื่องจากแม่ของตนเองจับได้ว่าตัวเองข่มขืนลูกสาวแท้แท้ของตัวเองซึ่งจากไม่รู้เรื่องก็มีการขู่ตัวเองว่าจะไปฟ้องตำรวจให้หมักดำเนินคดีจึงทำให้ตนเองกับแม่มีปากเสียงกันแล้วด้วยความโมโหจึงได้พลั้งมือทำร้ายแม่และเผลอเอามีดแทงแม่จนแม่เสียชีวิตซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงเวลาประมาณตีสี่และเมื่อพบว่าแม่เสียชีวิตแล้ว
ก็เกิดรู้สึกกลัวโดนจับไม่อยากต้องเข้าคุกจึงได้ทำการหั่นศพและแยกชิ้นส่วนโดยนำหัวไปฝังดินส่วนตัวก็นำมาแล่เนื้อเอาใส่ถังแช่น้ำแข็งเอาไว้และหลังจากนั้นตนเองก็ยังใช้ชีวิตตามปกติอย่างของออกไปช่วยชาวบ้านทำงานแต่สุดท้ายก็รู้สึกผิดจนในที่สุดจึงได้เข้าไปสารภาพความผิดเราเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ผู้ใหญ่บ้านฟังหลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้าน
จึงได้ทำการประสานงานแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาทำการจับกุมชายคนดังกล่าวสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นมานี้ฆาตกรฆป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมมามาก เพราะสามารถทำร้ายและค่าแม่ของตนเองได้และที่สำคัญน่าจะมีปัญหาทางจิตเนื่องจากนอกจากจะฆ่าแล้วยังเอาแล่เนื้อตัดคอไปฝังดินยังมีพฤติกรรมที่ข่มขืนขลูกของตนเองอีกด้วย
ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคุณจะนำตัวคนร้ายไปตัวถาสุขภาพทางจิตและส่งรักษาให้หายจากอาการโรคจิตให้เรียบร้อย เพื่อที่ถ้าเกิดว่าวันใดที่เค้าออกจากคุกมาจะได้ไม่มาก่อเหตุซ้ำเพียงเพราะมีผลจากปัญหาทางจิตเพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าตอนนี้คดีฆาตกรรมต่อให้ติดคุกก็อยู่ในคุกได้ไม่ด้านก็ต้องออกมาดังนั้นเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่เมื่อเขาออกมาแล้วจะมาก่อเหตุซ้ำทางตำรวจจึงต้องหาวิธีป้องกันเบื้องต้นเอาไว้ให้กับประชาชนด้วยจึงเห็นสมควรให้ตรวจสอบปัญหาสุขภาพจิตและถ้าพบว่าป่วยจริงก็ควรจะรีบรักษาหลังจากนั้นจึงค่อยนำตัวของฆาตกรรายนี้ไปนักโทษในคุกให้เค้ารับผิดกับสิ่งที่เขาทำ