แจ้งความจับพ่อเข้าคุกข้อหาข่มขืนจนตั้งท้องและบังคับทำแท้งส่วนย่าเชื่อว่าหลานใส่ร้ายลูกชาย
เกี่ยวกับคดีพ่อข่มขืนลูกมีความคืบหน้าที่ทางนักข่าวนั้นได้มีการลงไปสอบถามทั้งพ่อของเด็กที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมรวมถึงแม่ของผู้ต้องหาที่ออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้โดยเมื่อวันที่ 21 เดือนพฤษภาคมปีพศ 2563 ที่ผ่านมานั้น
แม่ของผู้ต้องหาได้เคยให้สัมภาษณ์กับทางทีวีช่อง 1 เกี่ยวกับข่าวที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้โดยเนื้อหาของข่าวนั้นเกิดขึ้นว่าหญิงสาววัย 18 ปีได้ประสานงานให้กับทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิช่วยพาไปแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเนื่องจากถูกพ่อแท้ๆของตนเองข่มขืนมาราธอนยาวนานมาหลายปีจนเธอตั้งท้องและในที่สุดพ่อของเธอ
เมื่อรู้ว่าตัวเธอนั้นตั้งท้องก็บังคับให้ลูกสาวของตนเองนั้นทำแท้งโดยพ่อนั้นเป็นคนทำแท้งให้ เรื่องนี้แม่ของทางผู้ต้องหาเองนั้นได้ออกมาสัมภาษณ์ว่าเธอไม่เชื่อว่าลูกชายของเธอนั้นจะข่มขืนลูกสาวแท้ๆของตนเองโดยเธอมองว่าเป็นการที่หลานของเธอนั้นไม่พอใจก็ตามไม่ให้มีแฟนจริงได้มีการใส่ร้ายพ่อส่วนทางด้านผู้ต้องหาเองนั้น
ก่อนหน้านี้ก็ได้มีการรับสารภาพไปแล้วเรื่องของการข่มขืนและบังคับให้ลูกทำแท้งแต่ต่อมาก็ได้มีการปฏิเสธโดยมีการระบุว่าเขาไม่ได้มีการข่มขืนลูกเพียงแต่ว่าเขายอมรับว่าตัวเขานั้นได้มีการบังคับให้ลูกไปทำแท้งจริงโดยทางผู้ต้องหาเองก็ให้ข้อมูลว่าเขาจับได้ว่าลูกสาวของเขานั้นจะคบหากับผู้ชายอยู่
ซึ่งตัวเขานั้นก็เป็นห่วงว่าลูกจะถูกผู้ชายหลอกไปในทางที่ไม่ดีจึงได้พยายามกีดกันไม่ให้ลูกนั้นคบเพื่อนผู้ชายแต่อย่างไรก็ตามด้วยลูกสาวของเขาอยู่ในวันที่เป็นช่วงวัยรุ่นจึงพยายามที่จะหนีไปมีแฟนให้ได้ซึ่งในที่สุดนั้นพ่อก็จับได้ว่าลูกสาวนั้นแอบไปมีแฟนและมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันจนตั้งท้องหลังจากนั้นหลวงพ่อก็ได้มีการโทรไปปรึกษากับแม่ของเด็กซึ่งเลิกรากันไปนานแล้วโดยแม่ของเด็กให้คำปรึกษามาว่าหากเกรงว่าลูกมีแฟนแล้ว
จะตั้งท้องก็แนะนำให้ลูกกินยาคุมซึ่งพ่อของเด็กยืนยันว่าตนเองนั้นไม่ได้เป็นคนข่มขืนลูกสาวอย่างแน่นอนแต่ยอมรับได้ว่าตนเองนั้นรู้ว่าลูกสาวของตนเองนั้นตั้งท้องซึ่งไม่รู้เกิดจากผู้ชายคนไหน ผู้ต้องหาที่ให้ข้อมูลอีกครั้งว่าในช่วงประมาณปลายเดือนธันวาคมนั้นเขารู้สึกว่าลูกของเขาอ้วนขึ้นจึงได้ไปซื้อที่ตรวจท้องมาให้ลูกลองทดลองดูผลปรากฏว่าลูกท้องจริงๆและตัวลูกเองนั่นแหละ
ที่เป็นคนอยากจะเอาเด็กออกทำให้คนเป็นพ่อจึงช่วยลูกด้วยการทำแท้งให้หลังจากนั้นก็เอาศพเด็กไปทิ้งซึ่งสิ่งที่ทำกับลูกในครั้งนี้ก็คือเพื่อที่ลูกจะได้สบายใจ ทั้งผู้เป็นพ่อยังบอกอีกว่าหากตรวจพบบนร่างกายของลูกนั้นมีอสุจิของคนเป็นพ่อก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเวลาที่พ่อช่วยเหลือตัวเองแล้วน้ำอสุจิเปื้อนเสื้อผ้าของพ่อ
ลูกเอาไปเช็ดตามร่างกายของตนเองเพื่อที่จะได้มีการใส่ร้ายพ่อนั้นเองเป็นคนเป็นพ่อยังบอกว่าหากศาลตัดสินให้เขามีความผิดและจะประหารชีวิตเขาเขาก็ยินดีแต่เขาจะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเขานั้นข่มขืนลูกของตนเอง อย่างไรก็ดีได้มีคุณหมอออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของการเอาผ้าที่เปื้อนอสุจิมาใช้ตามร่างกายของเด็กนั้นจะไม่สามารถตรวจพบอสุจิบนร่างกายของเด็กแน่นอนเนื่องจากว่าตัวอสุจินั้นหากออกมาสู่ภายนอกร่างกายแล้วก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้แค่เพียง 20 นาทีเท่านั้น
ได้รับการสนับสนุนโดย sagame ทดลอง